วันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธานสภาที่ปรึกษาธุรกิจเอเปค (ABAC) และนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ให้เกียรติร่วมสัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีจีทีเอ็น (China Global Television Network: CGTN) เกี่ยวกับข้อเสนอภาคเอกชนต่อเวทีผู้นำเอเปค และแนวทางการพัฒนาของไทยที่สอดคล้องกับข้อริเริ่มการพัฒนาโลก หรือ Global Development Initiative (GDI) เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาความยากจน ต่อสู้กับโควิด-19 เสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร พลังงาน อุตสาหกรรม และเศรษฐกิจดิจิทัล ณ ดิ แอทธินี โฮเทล, อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล
ABAC มุ่งเป้าเสนอ 2 แนวทางหลัก คือ การส่งเสริมให้เกิดการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและยั่งยืน และการกลับมาสร้างแรงกระตุ้นสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนทั่วถึงและยืดหยุ่น โดยมองว่าผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคจะต้องร่วมมือแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างเร่งด่วน ภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กลายมาเป็นความท้าทายต่อเศรษฐกิจโลกและส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs)
“เราต้องเน้นย้ำในการดูแลผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) เพราะกลุ่มนี้ คิดสัดส่วนเป็น 97% ของภาคธุรกิจ และได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ค่อนข้างมาก ขณะเดียวกันยังต้องส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้หญิง กลุ่มคนพื้นเมืองให้มีโอกาสเติบโตในหน้าที่การงาน สังคมและภาคธุรกิจด้วย” นายเกรียงไกร กล่าว
ด้านนายสนั่น กล่าวเสริมว่า “นอกจากนี้ เรายังคงต้องคำนึงถึงความยั่งยืน โดยต้องร่วมกันสร้างความสมดุลของระบบเศรษฐกิจ ที่ดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคมให้มากขึ้น โดยเฉพาะการแก้ปัญหาโลกร้อนที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกันอยู่ ณ ขณะนี้”
สำหรับข้อริเริ่มการพัฒนาระดับโลก (GDI) ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากประชาคมโลกทันทีที่มีการเสนอออกมา ซึ่งเห็นได้ชัดว่า GDI สอดคล้องกับความต้องการของทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็น
1) การสร้างฉันทามติทางการเมืองเพื่อเร่งการพัฒนา ไม่ว่าสถานการณ์ระหว่างประเทศจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่เป้าหมายของการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนยังคงเหมือนเดิม ข้อริเริ่ม GDI จึงมุ่งเน้นไปที่วาระการพัฒนาและความร่วมมือร่วมกัน
2) การสร้างเวทีสาธารณะเพื่อความร่วมมือในการพัฒนา การพัฒนาระดับโลกต้องมีวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่ชัดเจน รวมทั้งเน้นการลงมือปฏิบัติ และดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างหลักประกันและพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน เช่น การลดความยากจน การต่อสู้กับโควิด-19 การฝึกอบรมพัฒนาทักษะบุคลากร ความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน อุตสาหกรรม เศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาสีเขียว เป็นต้น
3) การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการพัฒนาระหว่างกัน ไม่ว่าจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วหรือประเทศกำลังพัฒนา โดยมุ่งเน้นการแบ่งปันและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการพัฒนาในรูปแบบต่างๆ เพื่อช่วยให้ประเทศต่างๆ ค้นพบแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศ
4) การเสริมสร้างความร่วมมือด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยข้อริเริ่ม GDI มุ่งเน้นการส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ โดยยึดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 17 ประการ สนับสนุนบทบาทขององค์กรระหว่างประเทศ รัฐบาล ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และภาคประชาสังคมในประเทศต่างๆ
นอกจากนี้ นายเกรียงไกร ยังเน้นย้ำแนวคิดด้านการพัฒนาของไทยที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างสมดุลและยั่งยืน ซึ่งไทยพร้อมแบ่งปันประสบการณ์ด้านการพัฒนาและสนับสนุนการดำเนินการของกลุ่ม Group of Friends of Global Development Initiatives (GoF of GDI) โดยเห็นว่าแนวคิดด้านการพัฒนาของไทยสอดคล้องกับข้อริเริ่ม GDI เช่น ประเด็นการสร้างความสมดุลระหว่างประชาชนกับธรรมชาติ เพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเสริมสร้างชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น
กลุ่ม Group of Friends of Global Development Initiatives (GoF of GDI) มีประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมกว่า 53 ประเทศ โดยมีประเทศสมาชิกอาเซียน 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย สิงคโปร์ กัมพูชา มาเลเซีย เวียดนาม และ สปป. ลาว
GDI ไม่ได้เสนอแผนงานแค่เพียงสำหรับช่วงเวลา เหตุการณ์ ประเทศหรือภูมิภาคใดพื้นที่หนึ่งเท่านั้น แต่ตอบสนองต่อความท้าทายเร่งด่วนที่ประเทศต่างๆ เผชิญด้วย โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา และเป็นอีกหนึ่งข้อริเริ่มที่จีนเสนอต่อจากข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative-BRI)
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัด คือ BRI มุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงตลาดการค้าระหว่างประเทศจีนและประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียและยุโรป เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ GDI จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน การถ่ายโอนความรู้ และการเสริมสร้างศักยภาพของบุคคล ผ่านการช่วยเหลือด้านการพัฒนาและการให้เงินช่วยเหลือแบบให้เปล่า (Grant)
“หากกล่าวว่า BRI มีขึ้นมาเพื่อเชื่อมโยงตลาดและการค้า GDI ก็มีขึ้นมาเพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายทางวัฒนธรรมและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ จึงอาจเรียกได้ว่า GDI มีขึ้นมาเพื่อสร้างความสมดุลให้ BRI มีความครบเครื่องมากขึ้น ลองเปรียบเทียบง่ายๆ ว่าหาก BRI เป็นหยาง มีความเป็นศาสตร์ เน้นตัวชี้วัดที่ชัดเจน GDI ก็คือ หยิน มีความเป็นศิลป์ เน้นความรู้สึกถึงการเดินไปด้วยกันเพื่อโลกที่ยั่งยืน จึงเป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจว่าต่อจากนี้ GDI กับ BRI อาจสามารถเติมเต็มซึ่งกันและกัน โดยไม่มีประเทศใดหรือผู้ใดถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง” นายเกรียงไกร กล่าวปิดท้าย