วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2565 นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้การต้อนรับนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) พร้อมรองประธานอาวุโส รองประธานและกรรมการบริหาร ส.อ.ท. เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือและส่งเสริมการค้า การลงทุนในประเทศและต่างประเทศ ณ ห้องประชุม Passion (802) ชั้น 8 ส.อ.ท.
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. ชี้แจงเกี่ยวกับการดำเนินงานของ ส.อ.ท. ภายใต้นโยบาย ONE FTI ซึ่งประกอบด้วย One Vision, One Team, One Goal เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมไทย เพื่อประเทศไทยที่แข็งแกร่งกว่าเดิม โดยมุ่งเน้นการขับเคลื่อนทั้งอุตสาหกรรมเดิม (First Industries) ที่ประกอบด้วย 45 กลุ่มอุตสาหกรรม (11 คลัสเตอร์) 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด (5 ภาค/คลัสเตอร์จังหวัด) ไปพร้อมกับอุตสาหกรรมใหม่หรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next-GEN Industries) ที่ประกอบด้วย 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curves) อุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยแนวคิด BCG (เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว) และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ในภาคอุตสาหกรรม เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
นายเกรียงไกร กล่าวว่า “ปัจจุบันวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไป มีความก้าวหน้าทางดิจิทัล เราจึงต้องปรับให้เท่าทันกับความเปลี่ยนแปลงนี้ เพื่อให้เกิดการดำเนินธุรกิจที่รุดหน้ามากขึ้น ส.อ.ท. พร้อมส่งเสริมอุตสาหกรรมเดิมและอุตสาหกรรมใหม่ไปพร้อมกัน สำหรับอุตสาหกรรมเดิม เราพร้อมสนับสนุนเพื่อให้ผู้ประกอบการยังคงยืนหยัด ต่อสู้ และต่อลมหายใจให้สามารถก้าวข้ามผ่านการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายไปได้ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
“ส.อ.ท. ชูโมเดล BCG เป็นรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งพัฒนาต่อยอดจากจุดแข็งของประเทศไทย ที่เรามีความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ เรามีโครงการการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรอัจฉริยะ(Smart Agriculture Industry) หรือ SAI ที่วางแผนจะทำให้สำเร็จเป็นที่แรกในกรุงเทพฯ ก่อน เพื่อให้คนไทยได้เรียนรู้เกี่ยวกับการนำวัสดุสิ้นเปลืองหรือเหลือใช้ มาเป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตสินค้าใหม่ เพิ่มมูลค่าเพิ่ม โดยยึดหลักกระบวนการ Recycling และ Upcycling ในภาคการเกษตร” นายเกรียงไกร กล่าวเสริม
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า “ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มีมติเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหม่ ที่จะเริ่มใช้วันที่ 3 มกราคม 2566 ภายใต้ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุน 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) โดยมีเป้าหมายส่งเสริมการลงทุนเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจใหม่ (New Economy) ควบคู่กับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน”
ภายใต้ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุน 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) ได้กำหนด 7 หมุดหมายแห่งอนาคต ได้แก่ 1) ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โดยยกระดับอุตสาหกรรมเดิมที่ไทยมีความโดดเด่น ควบคู่กับการสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ที่ไทยมีศักยภาพ และสร้างความเข้มแข็งของ Supply Chain ใน 5 สาขาอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ BCG ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ดิจิทัล และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ 2) เร่งเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมไปสู่ Smart และ Sustainability 3) ผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ และประตูการค้าการลงทุนของภูมิภาค 4) ส่งเสริม SMEs และ Startup ให้เข้มแข็งและเชื่อมต่อกับโลก 5) ส่งเสริมการลงทุนตามศักยภาพพื้นที่ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างทั่วถึง 6) ส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม และ 7) ส่งเสริมผู้ประกอบการที่มีศักยภาพให้ออกไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ
“บีโอไอพร้อมเป็นตัวเชื่อมธุรกิจรายใหญ่ ร่วมกับส.อ.ท. ที่มุ่งเน้นการผลักดันธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อเติมเต็มธุรกิจได้อย่างครบวงจรและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในทุกขนาดได้มากขึ้น” นายนฤตม์ กล่าวเสริม
“ส.อ.ท. เอง มีคณะทำงาน 10 Pillars ครอบคลุมหลากหลายด้าน เช่น การพัฒนาการเกษตร มาตรฐานอุตสาหกรรม ความปลอดภัย การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต Industry 4.0 ความมั่นคงทางด้าน Supply Chain ตลอดจนความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างความร่วมมือไปยังกลุ่มอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมจังหวัด และเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างความร่วมมือครั้งใหม่ร่วมกับบีโอไอ เพื่อสร้างความเข้มเข้มให้กับภาคอุตสาหกรรมไทยให้เติบโตมากขึ้น” นายเกรียงไกร กล่าวทิ้งท้าย
จะเห็นได้ว่ามาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมทั้งจาก ส.อ.ท. และบีโอไอ สามารถตอบโจทย์เป้าหมายการลงทุนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจใหม่ ขณะเดียวกันยังส่งเสริมการลงทุนครอบคลุมทั้งผู้ประกอบการรายเดิม รายใหม่ รวมถึง SMEs และ Startup ที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ และไม่ลืมที่จะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต