วันนี้ (วันที่ 23 พฤษภาคม 2566) นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) คณะกรรมการบริหารและเจ้าหน้าที่ ส.อ.ท. ให้การต้อนรับและหารือนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยทีมเศรษฐกิจของพรรค ประกอบด้วยนางสาวศิริกัญญา ตันสกุล นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รวมทั้งนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ตัวแทนทีมเศรษฐกิจจากพรรคไทยสร้างไทย เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะ และอุปสรรคจากภาคอุตสาหกรรมที่ต้องแก้ไขและพัฒนา ณ ห้อง 802 ส.อ.ท.
การหารือในครั้งนี้ นายเกรียงไกรได้นำเสนอนโยบายและยุทธ์ศาสตร์การดำเนินงานในวาระปี 2565-2567 ภายใต้ “ONE FTI” ที่ประกอบด้วย ONE Vision, ONE Team และ ONE Goal โดยมุ่งเน้นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยทั้งอุตสาหกรรมเดิมที่ประกอบด้วย 45 กลุ่มอุตสาหกรรม (11 คลัสเตอร์) 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด (5 ภาค/คลัสเตอร์จังหวัด) และอุตสาหกรรมใหม่หรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต ที่ประกอบด้วย 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย BCG และการผลักดันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)
นอกจากนี้ ส.อ.ท. ยังมีการนำเสนอข้อเสนอเร่งด่วน ประกอบด้วยการแก้ไขปัญหาต้นทุนพลังงาน การแก้ไขปัญหาแรงงาน การส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และการปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบเพื่อส่งเสริม (Ease of Doing Business) ซึ่งข้อเสนอแนะส่วนใหญ่ตรงกับที่พรรคก้าวไกลจะบรรจุไว้ในนโยบายรัฐบาล เช่น เรื่องราคาพลังงาน การเพิ่มผลิตภาพแรงงาน เป็นต้น
ทั้งนี้ พรรคก้าวไกล ต้องการเข้ามาผลักดันภาคอุตสาหกรรมให้ตอบโจทย์ในสังคมยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้ การสร้างยุทธศาสตร์ให้กับอุตสาหกรรมใหม่ โดยเฉพาะการเปลี่ยนจาก Made in Thailand ไปเป็น Made with Thailand โดยผลักดันให้ประเทศไทยไม่ใช่แค่รับจ้างผลิต แต่ต้องทำให้อุตสาหกรรมไทยเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ของอุตสาหกรรมโลกด้วย
นอกจากนี้ นายพิธา ยังกล่าวเสริมว่าอุตสาหกรรมไทยในอนาคตจำเป็นต้องมี 3F ซึ่งประกอบด้วย 1) Firm Foundation หรือพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นแรงงานที่มีทักษะสูง เทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐานที่ดี 2) Fair หรือความเป็นธรรม โดยต้องลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่ประเทศรายได้สูง และ 3) Fast Growing Industry โดยประเทศไทยจำเป็นต้องผลักดันการวิจัยและพัฒนามากยิ่งขึ้น พร้อมกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีแนวโน้มกำลังจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามการพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ ต้องเดินไปพร้อมกับ Soft power ที่เป็นจุดเด่นของประเทศไทยด้วย
ส่วนความกังวลในการปรับขึ้นค่าแรงตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้นั้น นายพิธา กล่าวว่า การเพิ่มผลิตภาพแรงงานต้องทำไปพร้อมกับการดูแลปากท้องของแรงงาน ถ้าท้องไม่อิ่มก็ไม่สามารถคิดเรื่องการเพิ่มทักษะได้ แต่นโยบายพรรคก้าวไกลเป็นการขึ้นค่าแรงพร้อมกับมาตรการช่วยเหลือภาคเอกชน การเสริมทักษะแรงงาน และมีระบบในการปรับขึ้นค่าแรงทุกปีตามสภาพเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ เพื่อให้ผลิตภาพและรายได้ของประชาชนเป็นสิ่งที่เติบโตไปด้วยกัน
สำหรับเรื่องน้ำ โดยเฉพาะเรื่องการให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และการเตรียมความพร้อมจัดทำมาตรการรับมือปัญหาภัยแล้ง ทางพรรคก้าวไกลมองว่า ควรหยิบยกเป็นวาระแห่งชาติ และรีบเร่งแก้ไข เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน
ส่วนในขั้นต่อไปที่พรรคก้าวไกล อยากทำงานร่วมกับ ส.อ.ท. คือ การตั้งคณะทำงาน โดยจำแนกเป็นรายคลัสเตอร์ โดยเอาโจทย์ของแต่ละอุตสาหกรรมที่มีความแตกต่างกันมาแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นด้านกฎหมาย เทคโนโลยี เงินทุน แรงงาน เพื่อทำงานร่วมกันต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ ส.อ.ท. มีความเชื่อมั่นว่า ภายใต้การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน หากยึดประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นที่ตั้ง และดำเนินการด้วยความโปร่งใส รอบคอบ ก็จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและนำพาเศรษฐกิจประเทศไปสู่อนาคตที่ดีขึ้นได้
