เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567 นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานสายงานสมาชิกสัมพันธ์ ให้เกียรติกล่าวเปิดงานสัมมนา “Supply Chain Transformation & Business Opportunities in Vietnam” และกล่าวต้อนรับ Mr. Nguyen Ba Khai รองผู้อำนวยการ การนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดบิ่งห์เยือง พร้อมด้วย Mr. Giang Quoc Dung รอง CEO ของบริษัท เบคาเม็กซ์ ไอดีซี-เวียดนาม โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนา กว่า 90 ท่าน ณ ห้อง Barn 1st Floor โรงแรม เบสท์ เวสเทิร์น จตุจักร
ภายในงาน ยังได้รับเกียรติจากกรรมการบริหาร ส.อ.ท. และคณะกรรมการสายงานสมาชิกสัมพันธ์ นำโดยนายพงศ์ธีระ พัฒนพีระเดช นายภูวิช ธิติชยาภัทร และนายวรวิทย์ จำเริญเลิศ ร่วมให้การต้อนรับคณะผู้บริหารจากเวียดนาม โดยมีวิทยากรที่เป็นนักลงทุนไทย ขนาดกลางและเล็กในเวียดนาม นำโดย
นายจงเจริญ จอมจักร์ รองผู้อำนวยการทั่วไป SCG (Vietnam) บรรยายเรื่อง “การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานและโอกาสทางธุรกิจในเวียดนาม” และนายนาวี บุตรสุนทร รองผู้อำนวยการทั่วไป บจก. เอ.เจ. พลาสท์ (เวียดนาม) นายดำรง สุขุมพันธุ์พงศ์ CEO บจก. ออปติมัส แพคเกจจิ้ง และนายธาราบดี ซึ้งอดิชัยวิทย์ ผู้จัดการทั่วไป ธนาคารกรุงเทพ สาขาในประเทศเวียดนาม ร่วมเสวนาเรื่อง “ลงทุนในเวียดนาม ไม่ยากอย่างที่คิด – มุมมองลงทุนปี 2024” และร่วมให้คำแนะนำแก่ผู้ที่ต้องการไปลงทุนในเวียดนาม และพร้อมให้ความช่วยเหลือด้านการเงินทุกด้าน
นอกจากนี้ Mr. Nguyen The Duy – Regional Marketing Director, Becamex IDC. ยังได้ร่วมแบ่งปันข้อเสนอในการพัฒนาอุตสาหกรรมสู่เศรษฐกิจสีเขียวในเวียดนาม โดยมีเป้าหมายบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ. 2050 รวมถึงส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน และไฟฟ้าพลังน้ำ อีกทั้งมุ่งมั่นพัฒนาจังหวัดบิ่งห์เยืองสู่การเป็น Smart City และ Industry 4.0 พร้อมสนับสนุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีทางการเงินสำหรับนักลงทุนรายใหม่ เพื่อดึงดูดนักลงทุนสู่จังหวัดบิ่งห์เยือง
เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567 นายเอก บูรพวงศ์ กรรมการและรองเลขานุการสถาบันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอุตสาหกรรมการผลิต (SMI) เป็นผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมแสดงความยินดีในพิธีเปิดตัวแพลตฟอร์ม “DX by SME D Bank” โดยได้รับเกียรติจากนายโมกุล โปษยะพิสิษฐ์ รองกรรมการผู้จัดการ SME D Bank เป็นผู้กล่าวเปิด ตอกย้ำบทบาทการเป็นผู้นำธนาคารเพื่อการพัฒนาและยกระดับบริการพัฒนาผู้ประกอบการอีกขั้น พร้อมเปิดตัวแพลตฟอร์มอัจฉริยะ “DX by SME D Bank” บูรณาการหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษากว่า 50 แห่งในรูปแบบ SMEs Total Solution Center จัดเต็มบริการเสริมแกร่งธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ตอบครบจบทุกความต้องการในจุดเดียว เช่น บริการ E-Learning ความรู้สำคัญศึกษาได้ด้วยตัวเอง 24 ชม. ระบบที่ปรึกษาธุรกิจ SME D Coach ช่องทางขยายตลาด SME D Market การตรวจสุขภาพธุรกิจ Business Health Check และการลงทะเบียนร่วมกิจกรรมเพิ่มศักยภาพ พร้อมรับสิทธิประโยชน์ SME D Privilege มากมาย ณ SME D BANK TOWER (สำนักงานใหญ่)
แพลตฟอร์ม “DX by SME D Bank” มีโมดูลบริการสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ เช่น
1. E-Learning รวบรวมความรู้สำคัญ ช่วยเพิ่มศักยภาพการประกอบธุรกิจ เรียนรู้ได้ด้วยตัวเองตลอด 24 ชม. เบื้องต้นมีมากกว่า 30 หลักสูตร เรียนจบรับเอกสารการันตี (E-Certificate)
2. SME D Coach ที่ปรึกษาธุรกิจจากโค้ชมืออาชีพกว่า 30 ท่าน เลือกรับการปรึกษาได้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ อีกทั้งนัดหมายล่วงหน้าตามสะดวกแบบใกล้ชิดตัวต่อตัว
3. SME D Market ช่องทางขยายตลาดด้วย E-marketplace และจับคู่ธุรกิจ (Business Matching)
4. Business Health Check ระบบตรวจสุขภาพธุรกิจได้ด้วยตัวเอง และ
5. SME D Activity ระบบจองเข้าร่วมกิจกรรมเติมความรู้จัดต่อเนื่องตลอดทั้งปี ในหัวข้อสำคัญ เช่น บริหารจัดการธุรกิจ นวัตกรรม เทคโนโลยี มาตรฐาน การตลาด การเงิน และเตรียมพร้อมเข้าถึงแหล่งเงินทุน เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีพิเศษสิทธิประโยชน์ (SME D Privilege) สำหรับผู้สมัครมาเป็น “DX MEMBER” อีกมากมาย ตามเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ เช่น รับสิทธิจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) อุดหนุนค่าใช้จ่ายการพัฒนาผู้ประกอบการแบบร่วมจ่าย (co-payment) มูลค่าสูงสุดถึง 200,000 บาท อีกทั้งกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) เพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน ผ่านโครงการ “ติดปีกเอสเอ็มอี หลักทรัพย์ไม่มี ดีพร้อมค้ำประกันให้” และรับสิทธิ Builk โค้ด 1 โครงการฟรี บน BUILK.COM พร้อมรับส่วนลด 20% สำหรับ Training Workshop นอกจากนี้ยังมีสิทธิทดลองขายสินค้าบนแพลตฟอร์ม amazon.com ระยะเวลา 3 เดือน TikTok Ads Credit เครดิตโฆษณาช่วยกระตุ้นยอดขายสร้างรายได้ให้กับธุรกิจบน TikTok for Business BEECY มอบสิทธิ์ทดลองใช้ระบบ ERP การบริหารจัดการร้านค้า ระยะเวลา 3 เดือน Aappoint เตรียมระบบจองโต๊ะร้านอาหารเพิ่มยอดขายให้ใช้งาน 3 เดือน เป็นต้น โดยตั้งเป้าหมายปี 2567 จะมีผู้สมัครเป็น “DX MEMBER” กว่า 20,000 ราย
วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน 2567 นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยจำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของประเทศ ในเดือนมีนาคม 2567 ผลิตรถยนต์ 138,331 คัน ลดลงร้อยละ 23.08 ขาย 56,099 คัน ลดลงร้อยละ 29.83 ส่งออก 95,089 คัน ลดลงร้อยละ 3.35 ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 1,226 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2,965 ขายรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) 4,615 คัน ลดลงร้อยละ 28.38
จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนมีนาคม 2567 มีทั้งสิ้น 138,331 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2566 ร้อยละ 23.08 ลดลงจากการผลิตขายในประเทศลดลงร้อยละ 41.01 จากการผลิตรถกระบะและรถยนต์นั่งที่ลดลงตามยอดขายในประเทศที่ลดลงจากการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงิน รวมไปถึงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยยังไม่มาก เพราะโรงงานผลิตรถยนต์บางบริษัทยังไม่พร้อม ซึ่งคาดว่าการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มมากขึ้นในไตรมาสที่ 3 แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 3.47
จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม – มีนาคม 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 414,123 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – มีนาคม 2566 ร้อยละ 18.45
รถยนต์นั่ง เดือนมีนาคม 2567 ผลิตได้ 52,099 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2566 ร้อยละ 18.39 โดยแบ่งเป็น
ยอดผลิตของรถยนต์นั่ง ตั้งแต่เดือนมกราคม – มีนาคม 2567 มีจำนวน 155,049 คัน เท่ากับร้อยละ 37.44 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม – มีนาคม 2566 ร้อยละ 13.62 โดยแบ่งเป็น
รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตัน ขึ้นไป ในเดือนมีนาคม 2567 ไม่มีการผลิต รวมเดือนมกราคม – มีนาคม 2567 ผลิตได้ 10 คัน ลดลงจากปีที่แล้วร้อยละ 68.75
รถยนต์บรรทุก เดือนมีนาคม 2567 ผลิตได้ทั้งหมด 86,232 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2566 ร้อยละ 25.66และตั้งแต่เดือนมกราคม – มีนาคม 2567 ผลิตได้ทั้งสิ้น 259,064 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – มีนาคม 2566 ร้อยละ 21.08
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนมีนาคม 2567 ผลิตได้ทั้งหมด 83,210 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2566 ร้อยละ 26.34 และตั้งแต่เดือนมกราคม – มีนาคม 2567 ผลิตได้ทั้งสิ้น 250,250 คัน เท่ากับร้อยละ 60.43 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม – มีนาคม 2566 ร้อยละ 21.85 โดยแบ่งเป็น
รถบรรทุกขนาดต่ำกว่า 5 ตัน – มากกว่า 10 ตัน เดือนมีนาคม 2567 ผลิตได้ 3,022 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2566 ร้อยละ 0.26 รวมเดือนมกราคม – มีนาคม 2567 ผลิตได้ 8,814 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มีนาคม 2566 ร้อยละ 9.94
ผลิตเพื่อส่งออก
เดือนมีนาคม 2567 ผลิตได้ 91,808 คัน เท่ากับร้อยละ 66.37 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมีนาคม 2566 ร้อยละ 9.09 ส่วนเดือนมกราคม – มีนาคม 2567 ผลิตเพื่อส่งออกได้ 273,680 คัน เท่ากับร้อยละ 66.09 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2566 ระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 5.02
รถยนต์นั่ง เดือนมีนาคม 2567 ผลิตเพื่อการส่งออก 28,719 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2566 ร้อยละ 10.97 และตั้งแต่เดือนมกราคม – มีนาคม 2567 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 81,805 คัน เท่ากับร้อยละ 52.76 ของยอดผลิตรถยนต์นั่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มีนาคม 2566 ร้อยละ 4.06
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนมีนาคม 2567 มียอดการผลิตเพื่อการส่งออก 63,089 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2566 ร้อยละ 16 และตั้งแต่เดือนมกราคม – มีนาคม 2567 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 191,875 คัน เท่ากับร้อยละ 76.67 ของยอดการผลิตรถกระบะ ลดลงจากเดือนมกราคม – มีนาคม 2566 ร้อยละ 8.42 โดยแบ่งเป็น
ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ
เดือนมีนาคม 2567 ผลิตได้ 46,523 คัน เท่ากับร้อยละ 33.63 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมีนาคม 2566 ร้อยละ 41.01 และเดือนมกราคม – มีนาคม 2567 ผลิตได้ 140,443 คัน เท่ากับร้อยละ 33.91 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม – มีนาคม 2566 ร้อยละ 36.06
รถยนต์นั่ง เดือนมีนาคม 2567 ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 23,380 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2566 ร้อยละ 38.41 แต่ตั้งแต่เดือนมกราคม – มีนาคม 2566 ผลิตได้ 73,244 คัน เท่ากับร้อยละ 47.24 ของยอดการผลิตรถยนต์นั่ง โดยเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมกราคม – มีนาคม 2566 ลดลงร้อยละ 27.40
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนมีนาคม 2567 มียอดการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 20,121 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2566 ร้อยละ 46.86 และตั้งแต่เดือนมกราคม – มีนาคม 2567 ผลิตได้ทั้งสิ้น 58,375 คัน เท่ากับร้อยละ 23.33 ของยอดการผลิตรถกระบะ และลดลงจากเดือนมกราคม – มีนาคม 2566 ร้อยละ 47.28 ซึ่งแบ่งเป็น
เดือนมีนาคม 2567 ผลิตรถจักรยานยนต์ได้ทั้งสิ้น 219,434 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2566 ร้อยละ 4.05 แยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 179,806 คัน ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 9.42 และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 39,628 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 31.26
ยอดการผลิตรถจักรยานยนต์เดือนมกราคม – มีนาคม 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 660,741 คัน ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 7.78 โดยแยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 533,398 คัน ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 8.14 แต่ชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 127,343 คัน ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 6.22
ยอดขาย
ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนมีนาคม 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 56,099 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 6.16 และลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 29.83 ลดลงจากการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินจากหนี้ครัวเรือนที่สูงมากและเศรษฐกิจที่อ่อนแอ เพราะความล่าช้าของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่ล่าช้าไปหลายเดือน ทำให้การใช้จ่าย การลงทุน และการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชะลอตัวไปด้วย ซึ่งคาดว่าครึ่งปีหลังยอดขายรถยนต์จะดีขึ้นจากการใช้จ่าย การลงทุนและการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลร่วมกับการลงทุนของเอกชนและการท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้นมากกว่า 33 ล้านคน
รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 30,894 คัน เท่ากับร้อยละ 55.07 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 22.70
รถกระบะมีจำนวน 16,212 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 45.27 รถ PPV มีจำนวน 3,436 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 46.68 รถบรรทุก 5 – 10 ตัน มีจำนวน 1,582 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 38.87 และรถประเภทอื่นๆ มีจำนวน 3,975 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว 200.45
ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 149,938 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ร้อยละ 4.37 แต่ลดลงจากเดือนมีนาคม 2566 ร้อยละ 18.72
ตั้งแต่เดือนมกราคม – มีนาคม 2567 รถยนต์มียอดขาย 163,756 คัน ลดลงจากปี 2566 ในระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 24.56 แยกเป็น
รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 96,794 คันเท่ากับร้อยละ 59.11 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 8.23
รถกระบะมีจำนวน 46,611 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 44.01 รถ PPV มีจำนวน 9,814 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 46.16 รถบรรทุก 5 – 10 ตัน มีจำนวน 4,597 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 26.07 และรถประเภทอื่นๆ มีจำนวน 5,940 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนช่วงกันในปีที่แล้ว 51.80
ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 447,604 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – มีนาคม 2566 ร้อยละ 11.64
รถยนต์สำเร็จรูป
เดือนมีนาคม 2567 ส่งออกได้ 95,089 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้วร้อยละ 7.18 และลดลงจากเดือนมีนาคม 2566 ร้อยละ 3.35 แยกเป็นรถยนต์สันดาปภายใน ICE 90,201 คัน ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 7.76 ส่งออกรถยนต์ HEV 4,888 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 728.47 แต่ส่งออกยังคงแข็งแกร่งตามยอดขายของประเทศคู่ค้าที่ยังเติบโต เช่น ประเทศออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก สหราชอาณาจักร เป็นต้น อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามเรื่องความขัดแย้งระหว่างประเทศต่างๆอย่างใกล้ชิดเพราะอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกรถยนต์ มูลค่าการส่งออก 67,926.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2566 ร้อยละ 12
รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนมีนาคม 2567 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 86,963.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2566 ร้อยละ 3.46
เดือนมกราคม – มีนาคม 2567 ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 270,525 คัน ลดลงจากช่วงระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 1.16 แยกเป็นรถยนต์สันดาปภายใน ICE 253,608 คัน ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 6.62 ส่งออกรถยนต์ HEV 16,917 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 698.35 มูลค่าการส่งออก 189,154.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มีนาคม 2566 ร้อยละ 12.51 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนมกราคม – มีนาคม 2567 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 248,608.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มีนาคม 2566 ร้อยละ 9.01
รถจักรยานยนต์
เดือนมีนาคม 2567 มีจำนวนส่งออก 86,239 คัน (รวม CBU + CKD) เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 1.89 และเพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2566 ร้อยละ 13.41 โดยมีมูลค่า 7,203.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2566 ร้อยละ 9.14
รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์ เดือนมีนาคม 2567 ชิ้นส่วนและอะไหล่รถจักรยานยนต์ 7,575.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2566 ร้อยละ 6.53
เดือนมกราคม – มีนาคม 2567 รถจักรยานยนต์ มีจำนวนส่งออก 253,728 คัน (รวม CBU + CKD) เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 5.19 มีมูลค่า 19,704.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 1.07
รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์เดือนมกราคม – มีนาคม 2567 ชิ้นส่วนและอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 20,858.18 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม – มีนาคม 2566 ร้อยละ 0.05
เดือนมีนาคม 2567 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่น ๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 94,539.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ3.70
เดือนมกราคม – มีนาคม 2567 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่นๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 269,466.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 8.25
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือนมีนาคม 2567
เดือนมีนาคม 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 7,436 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคมปีที่แล้วร้อยละ 15.59 โดยแบ่งเป็น
เดือนมกราคม – มีนาคม 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 29,714 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มีนาคมปีที่แล้วร้อยละ 41.15 โดยแบ่งเป็น
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท HEV เดือนมีนาคม 2567
เดือนมีนาคม 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 11,980 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคมปีที่แล้วร้อยละ 35.70 โดยแบ่งเป็น
เดือนมกราคม – มีนาคม 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 38,114 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มีนาคมปีที่แล้วร้อยละ 55.97 โดยแบ่งเป็น
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท PHEV เดือนมีนาคม 2567
เดือนมีนาคม 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 876 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคมปีที่แล้วร้อยละ 25.64 โดยแบ่งเป็น
เดือนมกราคม – มีนาคม 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 2,710 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – มีนาคมปีที่แล้วร้อยละ 20.01 โดยแบ่งเป็น
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV มีจำนวนทั้งสิ้น 161,352 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 203.94 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV มีจำนวนทั้งสิ้น 381,400 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 34.35 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท PHEV ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท PHEV มีจำนวนทั้งสิ้น 56,644 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 23.78 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
**———————————————————————————————-**
เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 คณะกรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) นำโดยนายอภิชิต ประสพรัตน์ นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ นายโชติ ชูสุวรรณ และนายเอก บูรพวงศ์ ให้การต้อนรับหน่วยงานที่มาร่วมแสดงความยินดีกับนายเกรียงไกร เธียรนุกุล เนื่องในโอกาสได้รับเลือกเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) วาระปี พ.ศ. 2567 – 2569 ณ ห้องมงคลสุธี ส.อ.ท.
ทั้งนี้ หน่วยงานเข้าร่วมแสดงความยินดี ได้แก่
1. บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดยนายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บสย. พร้อมคณะ อีกทั้งได้หารือการสนับสนุนโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 11 วงเงิน 50,000 ล้านบาท รวมถึงกิจกรรมเปิดกล่องของขวัญเพื่อ SME ปี 2567 และความร่วมมือในกิจกรรมเปิดกล่องของขวัญฯ เพิ่มเติม
2. ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) โดยนายโมกุล โปษยะพิสิษฐ์ รองกรรมการผู้จัดการ ธพว. พร้อมคณะ อีกทั้งได้หารือการส่งเสริมและสนับสนุนสมาชิก ส.อ.ท. ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยจะตั้งคณะทำงานคัดเลือกคลัสเตอร์อุตสาหกรรมนำร่องในการสนับสนุน พร้อมแนะนำแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank
3. บริษัท เคพีเอ็มจี ภูมิไชย สอบบัญชี จำกัด โดยนายเจริญ ผู้สัมฤทธิ์เลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยคณะ เพื่อสานต่อความร่วมมือสำหรับหลักสูตร K-FTI อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน หรือ ESG
เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2567 นางสาวยุพิน บุญศิริจันทร์ ประธานคณะกรรมการ CFM-ONE และประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พร้อมด้วยนายสุพจน์ สุขพิศาล เลขานุการคณะกรรมการ CFM-ONE และประธานกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ ส.อ.ท. เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร เพื่อหารือการจัดทำเค้าโครงรายงานการศึกษาภายในคณะทำงานศึกษาการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์สันดาป เพื่อจัดทำงบประมาณประจำปี 2568 ณ ห้องประชุมกรรมาธิการ CA316 อาคารรัฐสภา
ที่ประชุมฯ ได้มีการกำหนดกรอบข้อเสนอการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยพิจารณาจากอุปสงค์และอุปทาน (Demand & Supply) ทั้ง 3 ประเด็น ดังนี้
1. รักษาฐานการผลิตยานยนต์สันดาปเดิม เพื่อพยุงให้อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ มีการปรับตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น กลุ่มเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง เป็นต้น
2. ต่อยอดศักยภาพที่มีของอุตสาหกรรมยานยนต์และผู้ผลิตชิ้นส่วนฯ และสร้างโอกาส เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนในอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Future Mobility)
3. สร้างโอกาสและความสามารถในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แบตเตอรี่ (Battery) เซลล์เชื้อเพลิง (Fuel cell) และมอเตอร์ (Motor)
ทั้งนี้ คณะทำงานฯ จะเสนอแผนการพัฒนาทั้ง 3 ประเด็นไปยังฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อให้การดำเนินงานเกิดเป็นรูปธรรม และยกระดับให้อุตสาหกรรมยานยนต์พร้อมรับสำหรับ Future Mobility และสามารถปรับตัวท่ามกลางความท้าทายในปัจจุบันได้
เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2567 นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พร้อมด้วยนายวิศิษฎ์ ลิ้มประนะ ประธานสภาธุรกิจไทย-ฟิลิปปินส์ และ นายกริช อึ้งวิทูรย์สถิตย์ ประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา ให้การต้อนรับนายตุลย์ ไตรโสรัส เอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เนื่องในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทย ณ ห้องรับรอง ส.อ.ท.
ทั้งนี้ ได้มีการหารือประเด็นต่างๆ ที่สำคัญ ดังนี้
1. ปี 2567 จะเป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับฟิลิปินส์ ซึ่งตลอดปีจะมีการจัดกิจกรรมร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงการเยือนของผู้บริหารระดับสูง
2. ภาพรวมการค้าและเศรษฐกิจระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 ฟิลิปปินส์มีการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Investment: FI) มูลค่ารวม 2.73 หมึ่นล้านเปโซ โดยสิงคโปร์เป็นประเทศอันดับ 1 ที่เข้าไปลงทุนด้วย
3. มีการหารือแนวทางการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศในอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพ เช่น ธุรกิจพลังงานสะอาด (Wind Energy / Solar Farm) โครงสร้างพื้นฐานและระบบสื่อสารโทรคมนาคม การท่องเที่ยว (Cruise / Diving) และธุรกิจบริการ (Hospitality) ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ทางฟิลิปปินส์มีศักยภาพ
4. การเตรียมภาคเอกชนในการจัดทำ MOU ร่วมระหว่างหน่วยงานไทยและฟิลิปปินส์ เช่น Philippine Chamber of Commerce and Industry (PCCI), Philippine-Thailand Business Council, Makati Club เป็นต้น
เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2567 นายอรุณ เอี่ยมสุรีย์ ประธานสถาบันเศรษฐกิจและการลงทุนไทย-จีน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เข้าร่วมงานแถลงข่าวการเปิดงาน Green Technology Expo 2024 ของสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย-จีน โดยได้รับเกียรติจาก ศ.เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรีและประธานสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย-จีน พร้อมด้วย ศ.ดร.พิชัย สนแจ้ง เลขาธิการสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย-จีน และผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เข้าร่วม ณ สำนักงานนวัตกรรมและความร่วมมือสถาบันบัณฑิต วิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีน (CAS)
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะผู้ร่วมจัดงาน ได้สนับสนุนการดำเนินการจัดงานในครัังนี้ รวมถึงส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความร่วมมือทางด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีในภาคอุตสาหกรรมระหว่างประเทศไทยและประเทศจีน
ปัจจุบัน ส.อ.ท. มีการจัดตั้งสถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขึ้นและได้ร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิต (FTIX) และส่งเสริมผูัประกอบการ SMEs และสตาร์ทอัพในการเข้าถึงตลาดนวัตกรรมและเทคโนโลยีผ่านการสนับสนุนภายใต้โครงการ “กองทุนอินโนเวชั่นวัน” เพื่อให้สามารถเติบโตและแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2567 นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวัน โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพ เพื่อเป็นเกียรติแก่ The Right Honourable Christopher Luxon นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ เนื่องในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล ระหว่างวันที่ 16-18 เมษายน 2567 ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2567 นางสาวเพชรรัตน์ เอกแสงกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานคณะกรรมการมาตรฐานอุตสาหกรรมและความปลอดภัย พร้อมด้วยผู้แทนจากกลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ กลุ่มฯไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มฯ ชิ้นส่วนและยานยนต์ กลุ่มฯ เหล็ก กลุ่มฯ หล่อโลหะ กลุ่มฯ พลาสติก กลุ่มฯ ดิจิทัล กลุ่มฯ หนังและผลิตภัณฑ์หนัง ให้การต้อนรับคณะผู้บริหาร Japan Quality Assurance Organization (JQA) ณ ห้องประชุม PTT Group (1012) ชั้น 10 ส.อ.ท.
Japan Quality Assurance Organization (JQA) ได้แนะนำหน่วยงาน และการบริการตรวจประเมินให้การรับรองมาตรฐานระบบบริหารจัดการ การรับรองและทดสอบความปลอดภัย คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์เครื่องจักร การสอบเทียบและตรวจสอบอุปกรณ์เครื่องมือวัด รวมทั้งการรับรองผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ JIS หรือ Japanese Industrial Standard ให้แก่สมาชิก ส.อ.ท. โดย JIS เป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นที่จัดทำขึ้นมาเพื่อควบคุมคุณภาพ และมาตรฐานการผลิตภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นส่วนประกอบของวัตถุดิบ คุณสมบัติต่างๆ ของวัสดุ รวมไปถึงกระบวนการผลิต
วันที่ 11 เมษายน 2567 นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และนายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมเปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 92.4 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 90.0 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ทั้งนี้ความเชื่อมั่นที่ปรับตัวสูงขึ้นมีปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์ในประเทศที่ทยอยฟื้นตัว สะท้อนจากความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าคงทน ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวต่อเนื่อง และได้รับอานิสงส์จากมาตรการวีซ่าฟรีในช่วงที่ผ่านมา
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และนายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมเปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 92.4 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 90.0 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของดัชนีฯ พบว่ายอดขายโดยรวม คำสั่งซื้อโดยรวม ปริมาณการผลิตและผลประกอบการ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ความเชื่อมั่นที่ปรับตัวสูงขึ้นมีปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์ในประเทศที่ทยอยฟื้นตัว สะท้อนจากความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าคงทน อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เครื่องปรับอากาศ เฟอร์นิเจอร์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวต่อเนื่อง และได้รับอานิสงส์จากมาตรการวีซ่าฟรีในช่วงที่ผ่านมา ในด้านการส่งออกขยายตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจประเทศ คู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐฯ อินเดียและออสเตรเลีย ขณะที่ในเดือนมีนาคมผู้ประกอบการเร่งผลิตสินค้าก่อนวันหยุดต่อเนื่องในช่วงเทศกาลสงกรานต์ นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังได้รับผลดีจากมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตและค่าขนส่งให้กับภาคธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยลบจากปัญหาหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ยังทรงตัวสูง ส่งผลให้เศรษฐกิจในประเทศยังฟื้นตัวได้อย่างจำกัด นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังมีความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนทางการเงินและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ตลอดจนความไม่แน่นอนเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป ทำให้การส่งออกยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่
จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,336 ราย ครอบคลุม 46 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในเดือนมีนาคม 2567 พบว่าปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ร้อยละ 75.0 ราคาน้ำมัน ร้อยละ 55.8 เศรษฐกิจในประเทศ ร้อยละ 50.2 ตามลำดับ ปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ เศรษฐกิจโลก ร้อยละ 78.5 อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ร้อยละ 36.1 สถานการณ์การเมืองในประเทศ ร้อยละ 30.5 ตามลำดับ
ขณะที่ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 100.8 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 100.0 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐ การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 รวมถึงภาคการส่งออกมีแนวโน้มดีขึ้นตามการขยายตัวของอุปสงค์ในตลาดโลก แต่อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังไม่คลี่คลาย ส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้าที่ถูกนำมาใช้กับสินค้าส่งออกของไทยเพิ่มขึ้น อาทิ มาตรการด้านสิ่งแวดล้อม มาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป เป็นต้น
ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ
งบประมาณ รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ประกาศใช้โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบลงทุนต่อเนื่องที่ยังค้างชำระ และการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เพื่อให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว
จัดจำหน่ายสินค้าให้กับผู้ประกอบการและสนับสนุน Soft Power รวมถึงการจัด Roadshow แสดง
สินค้าในต่างประเทศ
ทั้งนี้ ส.อ.ท. ได้ทำการรวบรวมข้อมูลผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม และข้อมูลตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมจากหน่วยงานต่างๆ ย้อนหลัง 3 ปี จัดทำเป็น Dashboard เผยแพร่ในเว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม Industry Data Space (iDS) ของ ส.อ.ท. เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจ โดยสามารถเข้าไปใช้บริการข้อมูลดังกล่าวได้ที่ www.fti.or.th/ids
ส.อ.ท. มุ่ง “เสริมสร้างความเข้มแข็งให้อุตสาหกรรมไทย เพื่อประเทศไทยที่เข้มแข็งกว่าเดิม (Strengthen Thai Industries for Stronger Thailand)”
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
เผยแพร่โดย ฝ่ายสื่อสารองค์กร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (โทร. 0-2345-1013)
จัดทำข้อมูลโดย ฝ่ายเศรษฐกิจและวิชาการ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (โทร. 0-2345-1111)