ระหว่างวันที่ 18-19 ตุลาคม 2566 นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ส.อ.ท. ประกอบด้วยนายทวี ปิยะพัฒนา รองประธานอาวุโส นายกฤษณ์ อิ่มแสง เลขาธิการ ส.อ.ท. นายชาติชาย พานิชชีวะ นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธาน ส.อ.ท. และนายอรุณ เอี่ยมสุรีย์ ประธานสถาบันเศรษฐกิจและการลงทุนไทย–จีน เข้าร่วมคณะภาคเอกชนเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน กรุงปักกิ่ง
ผู้แทนภาคเอกชนได้เข้าร่วมกิจกรรมของภาคเอกชน ซึ่งเป็นกิจกรรมคู่ขนานที่ทางหน่วยงานภาครัฐได้จัดขึ้นระหว่างนายกรัฐมนตรีเดินทางเข้าร่วมประชุมระดับผู้นำในงานประชุม Belt and Road Forum for International Cooperation: BRF ครั้งที่ 3 เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการทูต ความร่วมมือระดับประเทศ และเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปีของยุทธศาสตร์ความริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง หรือ Belt and Road Initiative (BRI) ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง
ในวันที่ 18 ตุลาคม 2566 คณะผู้แทนภาคเอกชนได้เข้าร่วมประชุม Roundtable Discussion: Strengthening Thailand-China Business Partnership ระหว่างนักธุรกิจไทยและจีน โดยเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน กฎระเบียบและปัญหาอุปสรรคในการทำธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยและจีน ซึ่งปัจจุบันจีนเป็นประเทศคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย มูลค่าการค้ารวมเมื่อปี 2565 อยู่ที่ 105,404 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจีนยังเป็นนักลงทุนต่างชาติอันดับหนึ่งของไทย โดยในปี 2565 มีจำนวนโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจำนวน 158 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 77,381 ล้านบาท
จากนั้นคณะผู้แทนภาคเอกชนได้เข้าร่วมรายงานสรุปผลการหารือกับภาคเอกชนจีนต่อนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยสิ่งที่ภาคเอกชนไทยจะผลักดัน คือ การสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนระหว่างผู้ประกอบการไทย-จีน การสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวจีน การยกระดับอุตสาหกรรมของสองประเทศ การเร่งขับเคลื่อนนวัตกรรมและการพัฒนาร่วมกันของห่วงโซ่อุตสาหกรรม
ทั้งนี้ ส.อ.ท. เสนอผลักดันนโยบายสนับสนุน 5 อุตสาหกรรม ดังนี้
1. อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (EV)
2. อุตสาหกรรมดิจิทัล
3. อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ
4. อุตสาหกรรมสีเขียว
5. อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด
โดยทั้งสองฝ่ายสามารถร่วมมือกันได้ เพราะประเทศไทยมีความพร้อมเป็นฐานการผลิตรถยนต์สันดาป ในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานอีวีหรือพลังงานสะอาดอื่นๆ ซึ่งสิ่งที่จะได้จากนักลงทุนจีนที่จะเข้ามาลงทุน คือ การถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยที่ให้ไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออก
ทั้งนี้ คณะฯ ยังได้เดินทางเยี่ยมชมบริษัท Tencent Technology Beijing Co. Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีและถือเป็นบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ของจีน Tencent ที่ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลชั้นนำ ได้แก่ QQ (QQ Instant Messenger), Weixin หรือ WeChat, QQ.com, QQ Games และ Qzone เป็นต้น
สำหรับในวันที่ 19 ตุลาคม 2566 นายเกรียงไกร ได้ขึ้นกล่าวภาพรวมและโอกาสของอุตสาหกรรมไทยในอนาคต ในงาน Thailand – China Investment Forum “Thailand-China Private Sector’s Economic Cooperation” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และ China Council for the Promotion of International Trade (CCPIT) ฝั่งจีน
นายเกรียงไกร ได้กล่าวถึงศักยภาพและความพร้อมของภาคอุตสาหกรรมไทย รวมถึงนโยบายอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next-Gen Industries) ซึ่งสอดคล้องกับรัฐบาลจีนที่ผลักดันพลังงานสะอาดผ่านแผนยุทธศาสตร์ชาติ นอกจากนี้ ยังได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่าประเทศไทยพร้อมที่จะยกระดับประเภทของอุตสาหกรรม ลดการใช้แรงงานเข้มข้นและลดมลพิษ พร้อมคาดหวังให้จีนถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมถึงการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น
การเดินทางครั้งนี้ ถือเป็นการสร้างความเข้าใจและความมั่นใจให้กับนักลงทุนทั้งสองประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดต่อไป