สถานการณ์โลกปัจจุบันของเรามีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจำนวนประชากร สภาพแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ โรคระบาด ล้วนส่งผลต่อการสร้างความยั่งยืนในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางด้านอาหาร ซึ่งหากสังเกตจะพบว่า ช่วงไม่กี่ปีมานี้ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ยังตัดใจจากเนื้อสัตว์ไม่ได้ จึงเป็นที่มาของ “อาหารอนาคต (Future Food)” ที่หลายคนคุ้นเคยคือ ‘“Plant-based” หรือ “Plant-based Food” ที่ทำจากพืช (ผัก ผลไม้ เห็ด และธัญพืชต่าง ๆ)
:
จริงหรือไม่ ? Plant-based ไม่ตอบโจทย์คนไทย
พฤติกรรมผู้บริโภคอาหารจากพืชในสังคมไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และประเทศแถบยุโรป อาจดูน้อยมาก แม้ว่ามีการนำตลาดกลุ่ม “Flexitarian” หรือการกินอาหารมังสวิรัติแบบยืดหยุ่น และกลุ่ม “วีแกน (Vegan)” ที่งดเนื้อสัตว์ทุกชนิด เพื่อผลักดันและกระตุ้น Plant-based ให้เติบโต แต่เพราะอะไร Plant-based จึงไม่ตอบโจทย์คนไทยเท่าที่ควร ? จากการแลกเปลี่ยนทัศนะกับผู้ประกอบการ สรุปได้ดังนี้
- รสชาติ : ด้วยนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์การอาหารมีความก้าวหน้าไปมาก ทำให้สามารถพัฒนา กลิ่น สี รสชาติ รูปลักษณ์ และเนื้อสัมผัส ให้มีความใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ก็ตาม แต่รสสัมผัสที่ได้ก็ยังมีความแตกต่างจากเนื้อสัตว์จริง ๆ และยังคงมีกลิ่นเหม็นเขียวของพืชอยู่เล็กน้อย
อาหาร Plant-based มีปริมาณโซเดียมสูง เนื่องจากต้องปรุงแต่งรสชาติเพื่อให้ถูกปากผู้บริโภคและใกล้เคียงเนื้อสัตว์ ทำให้เกิดคำถามว่า หากบริโภคในระยะยาวจะมีผลดีต่อสุขภาพจริงหรือ ?
- หาซื้อยาก : ผลิตภัณฑ์ Plant-based ส่วนใหญ่มักวางขายตามร้านค้าเฉพาะกลุ่มหรือร้านซูเปอร์มาร์เก็ตบางพื้นที่ รวมถึงร้านอาหารยังกระจุกตัวอยู่เฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ จึงเป็นอุปสรรคในการเข้าถึง
- ราคา : เนื้อจากพืชราคาแพงกว่าเนื้อสัตว์ประมาณ 2 เท่า ความคุ้มค่าในปริมาณต่อกิโลกรัมที่ได้น้อยกว่าเนื้อสัตว์ รวมถึงค่าครองชีพในปัจจุบันสูงขึ้น แต่รายได้คงเดิม จึงมีผลต่อการตัดสินใจเลือกบริโภค
- แพ้ถั่ว : Plant-based เป็นการผลิตโดยใช้วัตถุดิบจากพืชที่ให้โปรตีนสูงอย่างถั่วชนิดต่าง ๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วลันเตา จึงไม่ตอบโจทย์ผู้ที่แพ้พืชตระกูลถั่ว
:
วันนี้และอนาคต อาหารอนาคตอาจไม่ใช่แค่ Plant-based เพียงอย่างเดียว อีกทั้งประเทศไทยยังคงมีความอุดมสมบูรณ์อยู่ จึงเป็นไปได้ค่อนข้างยากที่จะตอบโจทย์ผู้บริโภคไทย และนอกจากนี้ ด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม อาหารประเภทเนื้อสัตว์ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของวัตถุดิบหลักในการนำมาประกอบอาหารในชีวิตประจำวัน และเทศกาลต่าง ๆ ฉะนั้น การที่คนไทยจะหันไปรับประทานอาหารประเภท Plant-based ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่และต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร
:
จับตาครึ่งหลังปี 2566 “เทรนด์ดูแลลำไส้” กำลังมา
นอกจาก Plant-based แล้ว ยังมีอีกหนึ่งเทรนด์สำคัญของอาหารอนาคตที่กำลังมาแรงและน่าจับตาในครึ่งหลังปี 2566 คือ “อาหารเสริมสุขภาพ (Functional Food) ได้แก่ “การปรับสมดุลลำไส้” ที่เจาะกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการดูแลลำไส้ให้แข็งแรงและระบบขับถ่ายให้กลับเป็นปกติขึ้น ที่ออกมาในรูปแบบเครื่องดื่ม ผงชงดื่ม ยาเม็ด แคปซูล เจลลี เป็นต้น โดยมีพรีไบโอติกส์ (Prebiotics) และโปรไบโอติกส์ (Probiotics) เป็นส่วนประกอบ ซึ่งทั้งพรีไบโอติกส์และโปรไบโอติกส์นี้เริ่มเป็นที่คุ้นหูของคนไทยมากขึ้นแล้ว
:
ทำความรู้จัก 4 ไบโอติกส์
- พรีไบโอติกส์ (Prebiotics) เป็นอาหารชนิดหนึ่งที่มีพรีไบโอติกส์ตามธรรมชาติ เช่น กล้วย แอปเปิล หัวหอม กระเทียม ถั่วเหลือง ถั่วแดง แป้งสาลี เห็ดหอม เมื่อร่างกายรับเข้าไปจะเข้าไปอยู่ในลำไส้ใหญ่และกลายเป็นแหล่งอาหารของโปรไบโอติกส์ กระตุ้นให้จุลินทรีย์เจริญเติบโต
- โปรไบโอติกส์ (Probiotics) เป็นจุลินทรีย์ดีที่มีส่วนช่วยกำจัดแบคทีเรียที่ไม่ดีออกจากร่างกาย ซึ่งจุลินทรีย์นี้จะอาศัยอยู่ในลำไส้ และพบได้ในอาหารรสเปรี้ยว ของหมักดอง เช่น โยเกิร์ต นมเปรี้ยว คอมบูชาหรือน้ำชาหมัก (Kombucha) คีเฟอร์ (Kefir) เป็นนมหมักที่มีลักษณะคล้ายโยเกิร์ต เป็นต้น
- ซินไบโอติกส์ (Synbiotics) เกิดจากการผสมผสานระหว่างโปรไบโอติกส์กับพรีไบโอติกส์ เพื่อเสริมฤทธิ์การทำงานของลำไส้และภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็งแรงมากขึ้น
- โพสไบโอติกส์ (Postbiotic) คือสารที่ได้จากกระบวนการหมักของจุลินทรีย์ชนิดดี ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับการทำธุรกิจอาหารเสริม คาดว่าโพสไบโอติกส์จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในวงการคนรักสุขภาพที่เน้นการดูแลลำไส้และระบบขับถ่าย
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีชื่อเสียงและมีความสามารถในการผลิตอาหารแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งจะเป็นโอกาสดีที่จะเริ่มต้นสร้างธุรกิจหรือสร้างแบรนด์อาหารเสริมเป็นของตัวเอง และยังเป็นโอกาสของผู้ประกอบการที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพที่หลากหลายอีกด้วย
:
ด้วยความที่ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมมีหลายแบรนด์ในท้องตลาด ซึ่งก่อนจะซื้อมารับประทานต้องขอดอกจันทร์ไว้ก่อนว่า ขอให้ระวังโฆษณาเกินจริง และควรปรึกษาแพทย์ก่อน สำหรับคนที่มีสุขภาพดีอยู่แล้ว ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอาจให้ประโยชน์เพียงเล็กน้อย หากรับประทานมากเกินไปอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดีได้ ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าเราจะเลือกรับประทานเพื่อสุขภาพหรือเพื่อรสชาติ การรักษา “สมดุล” ของโภชนาการเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพและร่างกายเรามากที่สุด