เศรษฐกิจสร้างสรรค์ คืออะไร
สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) ระบุนิยามคำว่า “เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy)” ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2561 คือ การพัฒนาระบบเศรษฐกิจโดยใช้ความคิดสร้างสรรค์บนฐานขององค์ความรู้ ทรัพย์สินทางปัญญา และการศึกษาวิจัยซึ่งเชื่อมโยงกับวัฒนธรรม พื้นฐานทางประวัติศาสตร์การสั่งสมความรู้ของสังคม เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อใช้ในการพัฒนาธุรกิจ การผลิตสินค้าและบริการในรูปแบบใหม่ซึ่งสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจหรือคุณค่าทางสังคม
อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของประเทศไทย ประกอบด้วย 15 สาขา โดยจำแนกออกเป็น
– กลุ่มรากฐานทางวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (Creative Originals) ได้แก่ 1) งานฝีมือและหัตถกรรม 2) ดนตรี 3) ศิลปะการแสดง 4) ทัศนศิลป์
– กลุ่มคอนเทนต์และสื่อสร้างสรรค์ (Creative Content/Media) ได้แก่ 5) ภาพยนตร์ 6) การแพร่ภาพและกระจายเสียง 7) การพิมพ์ 8) ซอฟต์แวร์
– กลุ่มบริการสร้างสรรค์ (Creative Services) ได้แก่ 9) การโฆษณา 10) การออกแบบ 11) การให้บริการด้านสถาปัตยกรรม
– กลุ่มสินค้าสร้างสรรค์ (Creative Goods/Products) ได้แก่ 12) แฟชั่น
– กลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง (Related Industries) 13) อาหารไทย 14) การแพทย์แผนไทย 15) การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
:
ส่อง 3 เทรนด์หนุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์
ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจอุตสาหกรรมมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ยิ่งยุคนี้เป็นยุคของการใส่ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อสร้างความแตกต่าง ความหลากหลาย คุณสมบัติที่ยอดเยี่ยม และความทันสมัยเหนือคู่แข่ง ก็สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภค เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ตลอดจนการจ้างแรงงานสร้างสรรค์ที่ต้องเติบโตไปพร้อมกัน ทั้งนี้ หากธุรกิจอุตสาหกรรมสามารถเชื่อมโยงกับความคิดสร้างสรรค์ได้ก็จะช่วยขับเคลื่อนให้กลไกของเศรษฐกิจสร้างสรรค์นั้นพัฒนาและยั่งยืนขึ้นอีก โดยในบทความนี้ขอเสนอ 3 เรื่องสำคัญที่คาดว่าจะเป็นเทรนด์ที่น่าจับตามองในอนาคตอันใกล้นี้และรองรับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ได้แก่ เทคโนโลยีดิจิทัล สังคมคาร์บอนต่ำ และสังคมสูงวัย
- เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Technology)
ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลก้าวหน้าและพัฒนาไวยิ่งกว่าปรอท แทรกซึมไปทุกธุรกิจอุตสาหกรรม และกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานอย่างมาก ที่สำคัญผู้ที่ประกอบสายอาชีพไม่เสี่ยงตกงานด้วย เพราะเป็นสายงานเฉพาะทาง
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีดิจิทัลจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้เกิดการพัฒนากระบวนการและสินค้า เช่น การทำตลาดออนไลน์ การบริหารจัดการร้านอาหาร การใช้เทคโนโลยีบลอกเชน การพัฒนาแอปพลิเคชันที่ใช้ AI เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันมีธุรกิจอุตสาหกรรมจำนวนไม่น้อยที่หันมาให้ความสำคัญและมองเห็นโอกาสการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ดังนั้น แรงงานที่มีทักษะความสามารถด้านดิจิทัลซึ่งเป็นลักษณะทางเทคนิคอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องมีความคิดสร้างสรรค์ร่วมด้วย ธุรกิจอุตสาหกรรมถึงจะไปต่อได้อย่างยั่งยืน
ในมุมมองวิจัยของธนาคารกรุงศรี ได้เปิดเผยแนวโน้มธุรกิจบริการดิจิทัลและซอฟต์แวร์ ปี 2566-2568 ว่า ในช่วงปี 2566-2568 ธุรกิจนี้มีศักยภาพในการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่องในทุกกลุ่มธุรกิจย่อย โดยเฉพาะธุรกิจบริการดิจิทัลที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการเติบโตของผลประกอบการ โดยรายได้ของธุรกิจบริการดิจิทัลและซอฟต์แวร์โดยรวม คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องในอัตราเฉลี่ย 19.0-20.0 % แบ่งออกเป็น 1) บริการดิจิทัล รายได้มีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 22.0-23.0 % 2) ซอฟต์แวร์และบริการซอฟต์แวร์ รายได้มีแนวโน้มขยายตัว 11.0-12.0 % และ 3) ดิจิทัลคอนเทนต์ รายได้มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น 13.0-14.0 %
- สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society)
“สังคมคาร์บอนต่ำ” เป็นคำที่ได้ยินบ่อยมากขึ้น ตราบใดที่ยังไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิของโลกไม่ให้สูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส แต่การจะไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำได้นั้นทุกภาคส่วนต้องเร่งปรับตัว ตื่นตัว และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ ทั้งนี้ ในมุมของภาคธุรกิจอุตสาหกรรมเป็นได้ทั้งโอกาสและแรงกดดันที่ต้องผลิตสินค้า และบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เช่น สินค้าที่ใช้วัตถุดิบย่อยสลายง่ายและกลับมาใช้ซ้ำได้ บรรจุภัณฑ์ดีไซน์ทันสมัยดูรักษ์โลก สินค้าติดฉลากคาร์บอนที่แสดงข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือคาร์บอนฟุตพริ้นท์ เป็นต้น
นอกจากนี้ การประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 28 (Conference of the Parties: COP 28) ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน – 12 ธันวาคม 2566 นี้ หนึ่งในเป้าหมายของการประชุม คือ การลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้อุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มมากกว่า 1.5 องศาเซลเซียส ประกอบกับเทรนด์เทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมหรือเทคโนโลยีสีเขียว (Green Technology) ยิ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญในการปรับตัวและผลักดันการลงทุนของภาคธุรกิจอุตสาหกรรม ซึ่งต่อไปนักลงทุนจะให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) มากขึ้น
- สังคมสูงวัย (Aging society)
ในแต่ละปีมีจำนวนผู้สูงวัยที่อายุ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มมากขึ้น ส่งผลกระทบกับสังคม นโยบายเศรษฐกิจ และขีดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ มีการคาดการณ์ว่าในปี 2574 ประเทศไทยจะเข้าสู่ “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” (Super-Aged Society) เมื่อประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป จะมีสัดส่วนสูงถึง 28 % ของประชากรทั้งหมด ซึ่งผู้สูงวัยจำเป็นต้องได้รับการดูแลสุขภาพทั้งกายและการกินอยู่ รวมถึงการปรับสภาพแวดล้อมและที่พักอาศัย
ประเด็นน่าสนใจคือ การเตรียมรับมือสังคมสูงวัย (ผู้ที่มีอายุ 50-59 ปี) จะเตรียมความพร้อมให้กับตนเองก่อนเป็นผู้สูงวัยในอนาคตได้อย่างไร เพื่อให้เป็นประชากรที่มีคุณภาพของประเทศและไม่เป็นภาระลูกหลาน
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจซึ่งถือเป็นความท้าทายและโอกาสในการรับมือเพื่อจะตอบโจทย์ รวมถึงจะเปลี่ยนโลกของสังคมสูงวัยอย่างไร เช่น อาหารทางการแพทย์ของผู้สูงวัย (Medical Foods) ซึ่งเป็นเทรนด์ธุรกิจแห่งอนาคต โรงพยาบาลหรือธุรกิจดูแลผู้สูงวัย การนำนวัตกรรมมาใช้กับผู้สูงวัยในยุคดิจิทัล เช่น อุปกรณ์ดิจิทัล* พบว่า 37.9 % ไม่รู้วิธีการใช้งานหรือไม่เข้าใจเมนูคำสั่งที่เป็นภาษาอังกฤษ 43.0 % ผู้สูงวัยที่เคยประสบภัยในการใช้อุปกรณ์ดิจิทัล เป็นต้น (* ที่มา : สารสถิติ สำนักงานสถิติแห่งชาติ ประจำเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2566)
———————
การมุ่งเน้นให้เกิดการสร้างมูลค่าเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจไทยจากแนวความคิดหรือปัจจัยการผลิตในรูปแบบเดิม ๆ อาจจะไม่ตอบโจทย์เสมอไปสำหรับเศรษฐกิจยุคใหม่ การสร้างมูลค่าเศรษฐกิจโดยใส่ความคิดสร้างสรรค์จะเป็นอีกแนวทางใหม่ที่ช่วยให้เศรษฐกิจเติบโต เช่นเดียวกับประเทศที่พัฒนาแล้วได้นำเศรษฐกิจสร้างสรรค์บรรจุเป็นแผนนโยบายหลักสำคัญของประเทศ ส่วนประเทศไทยคำนี้อาจจะไม่โด่งดังเท่า Soft Power ในขณะนี้ ทั้งนี้ เศรษฐกิจสร้างสรรค์จะจับต้องได้ก็ต่อเมื่อได้รับการผลักดันบทบาทอย่างจริงจังและชัดเจนควบคู่กับการยกระดับแรงงานสร้างสรรค์ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการสร้างมูลค่าให้เพิ่มมากขึ้น