ปัจจุบันนี้เราไม่สามารถปฏิเสธและหลีกเลี่ยงการทำธุรกรรมออนไลน์ได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา คนไทยปรับตัวและยอมรับกับแพลตฟอร์มดิจิทัลหรือออนไลน์มากขึ้น จนนำมาซึ่งการแข่งขันทางธุรกิจเพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขาย โดยมีการนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย รวมถึงครอบคลุมทุกความต้องการ ทั้งนี้ ธุรกรรมออนไลน์ยังเป็นแรงผลักดันสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลไทยให้เติบโตและมั่นคงยิ่งขึ้น
:
สำหรับในปี 2567 สายธุรกิจออนไลน์จะมีการแข่งขันที่ร้อนแรงและเข้มข้นมากขึ้น เนื่องจากมีปัจจัยหลายประการที่เอื้อให้เกิดการแข่งขันและแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด ไม่ว่าจะเป็น การเติบโตของตลาดออนไลน์ (E-Commerce) การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพื่อเปรียบเทียบข้อมูลที่ง่ายขึ้น การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ตลอดจนการนำเครื่องมือต่าง ๆ มาช่วยในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคและเสริมประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (Customer Relationship Management: CRM) การฟังเสียงของผู้บริโภคบนสื่อสังคมออนไลน์ (Social Listening) ส่งผลให้เกิดการปรับตัวและเร่งพัฒนาโมเดลธุรกิจในยุคดิจิทัล เช่น ราคา คุณภาพ ช่องทางการซื้อขาย การชำระเงินแบบดิจิทัล เป็นต้น
:
ตัวอย่างของสายธุรกิจออนไลน์ที่ควรเตรียมพร้อมรับศึกในปี 2567 ได้แก่
- Social Commerce คาดว่าจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและมาแรงขึ้นอีก เนื่องจากผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าและบริการผ่านโซเชียลมีเดียมากขึ้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเติบโตของการใช้งานโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, TikTok, Reels เป็นต้น ซึ่งในปี 2567 คาดว่าจะได้เห็นความหลากหลายและประสิทธิภาพในการสร้างสรรค์คอนเทนต์มากขึ้นอีก โดยเฉพาะการให้ความสำคัญและการลงทุนกับคอนเทนต์ (Payment Platform) เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค และที่สำคัญต้องไม่ลืมกฎเหล็กต้องห้ามของแต่ละแพลตฟอร์มให้ดีด้วย เพื่อจะได้ไม่โดนปิดกั้นคอนเทนต์หรือโดนลบสินค้าออกจากแพลตฟอร์ม
- Live Commerce ซึ่งเป็นการซื้อขายสินค้าและบริการผ่านวิดีโอสดบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ที่จะมาสอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เช่น Facebook Live, Instagram Live เป็นต้น ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันและจะโดดเด่นในปี 2567 เพื่อตอกย้ำกระแส Shoppertainment (มาจากคำว่า Shopping+Entertainment ในการสร้างประสบการณ์และความบันเทิงให้กับลูกค้าระหว่างชอปปิง) ยิ่งกว่านั้น กลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) และกลุ่มดีอินฟลูเอนเซอร์ (Deinfluencer) ที่ทรงอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/ขายสินค้าและเชื่อมต่อกับแบรนด์ ซึ่งจะมีความหลากหลายและเพิ่มจำนวนมากขึ้น ที่น่าจับตาก็คือ กลุ่มดีอินฟลูเอนเซอร์ ที่คาดว่าจะมีความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อสร้างคอนเทนต์เตือนภัยผู้บริโภคเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการต่าง ๆ รวมทั้งมือไลฟ์ขายของก็อาจจะเกิดเป็นอาชีพมากขึ้นในอนาคตด้วย และที่สำคัญรูปแบบนี้ยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพออนไลน์ได้อีกทางหนึ่ง
- Marketplace ตลาดขายของบนโลกออนไลน์ จะเริ่มปรับตัวใหม่โดยให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้ามากขึ้น ด้วยการนำเสนอฟีเจอร์ใหม่ ๆ มาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ขายและผู้ซื้อหนีไปใช้ Social Commerce เช่น การค้นหาสินค้า/บริการที่สะดวกและรวดเร็ว การรีวิวสินค้า การบริการหลังการขาย เป็นต้น
- ตลาด B2B (Business to Business) และ B2C (Business to Consumer) มีแนวโน้มเติบโตไปพร้อม ๆ กัน ส่วนตลาด C2C (Consumer to Consumer) ซึ่งเป็นตลาดการค้าขายระหว่างผู้บริโภคด้วยกันเอง ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากหลายด้าน เช่น การขยายตัวของตลาดมือสอง ตลาดสด และแพลตฟอร์ม Social Commerce เป็นต้น
- ตลาด Cross-border เป็นตลาดการค้าขายสินค้าหรือบริการระหว่างประเทศผ่านช่องทางออนไลน์โดยผู้ซื้อและผู้ขายไม่ได้อยู่ในประเทศเดียวกัน ซึ่งแตกต่างจากตลาดการค้าระหว่างประเทศแบบดั้งเดิม ที่ผู้ซื้อและผู้ขายจะพบกันแบบตัวต่อตัว นอกจากนี้การเติบโตของอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย ยิ่งเป็นแรงส่งให้ตลาด Cross-border มีขนาดใหญ่ขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การทำธุรกิจ Cross-border ยังมีความเสี่ยงและข้อจำกัดบางประการซึ่งผู้ประกอบการที่สนใจควรศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดนี้ให้ดี เช่น ความซับซ้อนทางกฎหมายและข้อบังคับของแต่ละประเทศอาจแตกต่างกัน ความท้าทายด้านโลจิสติกส์ระหว่างประเทศอาจใช้เวลาและค่าใช้จ่ายมากกว่าการขนส่งสินค้าภายในประเทศ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจกระทบการส่งสินค้า เป็นต้น
————————————-
ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสายไหนก็ต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค นอกจากสร้างประสบการณ์ที่ดีและเป็นประโยชน์ให้กับผู้บริโภคแล้ว ก็ต้องมีการเตรียมความพร้อมที่อาจเกิดขึ้นได้หลากหลายรูปแบบ เช่น การโจมตีทางไซเบอร์ การเผยแพร่ข้อมูลเท็จ การกลั่นแกล้งทางออนไลน์ การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เป็นต้น
:
ส่วนในมุมของผู้บริโภคยุคใหม่ต่างก็ต้องการข้อมูลที่เป็นกลาง ไม่โฆษณาเกินจริง และเชื่อถือได้ก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการนั้น โดยเพจบันทึกการตลาด ได้เปิดเผยว่า 51 % ต้องการความจริงใจ 49 % ชอบความมีอารมณ์ขัน และ 42 % ชอบคนที่มีความเชี่ยวชาญ แต่อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมผู้บริโภคยังมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปในอนาคตอีก เนื่องมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวหรือเงินเฟ้อ อาจส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายโดยหันมาซื้อสินค้าหรือบริการที่จำเป็นเท่านั้น