เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2566 นายเวทิต โชควัฒนา ประธานสายงานอาเซียนและโลจิสติกส์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) มอบหมายให้คณะอนุกรรมการด้านโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทาน นำโดยนายณัฏฐะวุฒิ เครือประดับ ประธานคณะทำงานด้านการผลักดันแก้ไขปัญหาการส่งออกบริเวณท่าเรือแหลมฉบัง ภายใต้อนุกรรมการโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทาน เป็นประธานจัดการประชุมระดมสมองเรื่อง “แนวทางส่งเสริมการขนส่งทางรถไฟ สนับสนุนการแก้ปัญหาจราจรภายในแหลมฉบัง” ณ ห้องประชุมสำนักงาน SRTO (ศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ ท่าเรือแหลมฉบัง) การท่าเรือแหลมฉบัง
ในการประชุมครั้งนี้ มีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และผู้แทนจากหน่วยงานภาคเอกชนต่างๆ เช่น สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กรมการขนส่งทางราง การท่าเรือแหลมฉบัง การรถไฟแห่งประเทศไทย สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สมาคม BSAA ตัวแทนจากสายเรือ สมาคมผู้ประกอบการท่าเทียบเรือสินค้าและคอนเทนเนอร์ (TICTA) ให้เกียรติเข้าร่วมเสนอความคิดเห็นเพื่อสนับสนุนการขนส่งทางรถไฟและแก้ไขปัญหาการจราจรภายในท่าเรือแหลมฉบัง และชี้ให้เห็นถึงเป้าหมายการเป็นประตูการค้าการลงทุนและโลจิสติกส์ สอดรับกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13
ปัจจุบัน สัดส่วนการขนส่งทางรถไฟเข้าสู่ท่าเรือแหลมฉบัง มีปริมาณ 472,000 ทีอียู (TEU) คิดเป็นร้อยละ 5.4 โดยการขนส่งสินค้าทางรถไฟเข้าในท่าเรือแหลมฉบัง ร้อยละ 88 ขนส่งมาจากเส้นทางท่าเรือแหลมฉบัง – ICD ลาดกระบัง และร้อยละ 12 มาจากเส้นทางสายนอกทั้งรถไฟจากอีสานใต้ สายเหนือ และสายใต้ซึ่งแนวทางส่งเสริมการขนส่งทางรถไฟที่หารือในการประชุมครั้งนี้ คาดว่าในอนาคตการขนส่งในเส้นทางจะมีปริมาณสูงได้ถึง 2 ล้าน TEU ต่อปี โดยคาดว่าจะเป็นการขนส่งจาก ICD ลาดกระบัง 7 แสน TEUต่อปี (ร้อยละ 35) และจากเส้นทางสายนอก 1.3 ล้าน TEU ต่อปี (ร้อยละ 65) การเปรียบเทียบสัดส่วนการขนส่งสินค้าในเส้นทางระหว่างท่าเรือแหลมฉบัง – ICD ลาดกระบัง การขนส่งทางรางจะมีสัดส่วนสูงสุดที่ร้อยละ 20-30 โดยมีการขนส่งสินค้าทางถนนผ่านรถบรรทุกเฉลี่ย 9.3 แสนทีอียูต่อปี ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญที่ขับเคลื่อนให้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าจากทางถนนมาสู่ทางรางเพิ่มขึ้น หากมีการส่งเสริมเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้าทางราง จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ลดต้นทุนการขนส่ง ลดปริมาณการจราจรบนถนน และลดมลพิษทางอากาศจากรถบรรทุก ซึ่งส่งผลให้ศักยภาพด้านโลจิสติกส์ของประเทศเพิ่มมากขึ้น
การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) สนับสนุนนโยบายการพัฒนาธุรกิจไปพร้อมกับการเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนโดยการพัฒนาท่าเรือสู่การเป็น Green Port Supply Chain โดยตั้งเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางรถไฟแทนการใช้รถบรรทุก เพื่อขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ เข้าสู่ท่าเรือแหลมฉบังให้ได้ร้อยละ 30 โดยคาดว่าเป้าหมายนี้จะสำเร็จเมื่อโครงสร้างพื้นฐานทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อย เพื่อบรรเทาการจราจรภายในท่าเรือแหลมฉบัง กรมการขนส่งทางราง โดยนายอธิภู จิตรานุเคราะห์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง และนายทยากร จันทรางศุ ผู้อำนวยการกองมาตรฐานความปลอดภัยและบำรุง แสดงความเห็นพร้อมสนับสนุนการแก้ไขปัญหาจราจรภายในแหลมฉบังและพร้อมขับเคลื่อนเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนการขนส่งทางรถไฟสู่ท่าเรือแหลมฉบัง ร้อยละ 30 ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามกรอบนโยบายคมนาคม ทั้งมิติทางเศรษฐกิจ ความปลอดภัย การให้บริการที่เป็นมาตรฐานสากล และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้มีความเห็นร่วมกันตามแนวทางการส่งเสริมการขนส่งทางรถไฟในท่าเรือแหลมฉบังเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางราง โดยเร่งรัดการแก้ไขปัญหาคอขวดของการขนส่งสินค้าทางรางภายในพื้นที่ SRTO พร้อมเสนอให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) แก้ไขข้อบังคับและระเบียบการเดินรถ พ.ศ. 2549 ของ รฟท. ให้สามารถเดินรถได้หลายขบวนใน 1 ตอน ภายในพื้นที่ โดยยังคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ เพื่อลดเวลาการรอคอยการเดินรถ อีกทั้ง รฟท. เร่งรัดการจัดหาหัวรถจักรและแคร่บรรทุกตู้สินค้าให้เพียงพอโดยเร็ว และมีแผนการดำเนินงานในระยะต่อไป โดยส่งเสริมการให้เอกชนร่วมให้บริการเดินรถขนส่งสินค้าทางราง พร้อมดำเนินการด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางราง การเพิ่มประสิทธิภาพของอุโมงค์ X-ray ตลอดจนกระบวนการตรวจปล่อยสินค้า พร้อมการปรับปรุงลงทุนระบบอาณัติสัญญาณให้อำนวยความสะดวกในการเดินรถไฟเข้าได้ทั้ง SRTO และท่าเทียบเรือ C พร้อมรองรับการขนส่งในท่าเทียบเรือระยะ 3 ตามแผนการเปิดให้บริการในอนาคต
อย่างไรก็ตาม การประชุมระดมสมองดังกล่าวเป็นเพียงเวทีเริ่มต้น ซึ่งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) คาดหวังความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและขยายผลให้เกิดเป็นแนวทางส่งเสริมการขนส่งทางรถไฟ เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาจราจรภายในแหลมฉบังนั้นมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลต่อไป