เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2567 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้จัดการประชุมคณะกรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย วาระปี 2567-2569 โดยมีคณะกรรมการจำนวนทั้งสิ้น 366 คน ซึ่งมาจากผู้แทนสมาชิกประเภทสามัญจากทั่วประเทศจำนวน 244 คน กรรมการประเภทแต่งตั้งที่มาจาก 46 กลุ่มอุตสาหกรรมของ ส.อ.ท. และจาก 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ รวม 122 คน โดยวาระสำคัญในการประชุมครั้งนี้เป็นการเสนอชื่อผู้ที่จะดำรงตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย วาระปี 2567-2569 โดยที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์เลือกนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สมัยที่ 2 ณ ห้องประชุม 208-209 (ชั้น 2) ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
นายเกรียงไกร กล่าวว่า นโยบายที่ใช้ขับเคลื่อน ส.อ.ท. ในวาระแรก คือ ONE FTI (One Vision, One Team, One Goal) ที่ได้วางแผนไว้ คือ วาระแรก 2 ปีและต่อวาระสองอีก 2 ปี ซึ่งในวาระแรกได้เน้นการขับเคลื่อน First Industries หรืออุตสาหกรรมเดิม และขยายผลสู่ Next-GEN Industries ใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่หรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต (S-Curves) ที่ขับเคลื่อนด้วย BCG Model (Bio-Circular-Green) ที่เป็นทิศทางของโลกในปัจจุบัน
“สิ่งที่สำคัญ คือ การเน้นไปที่การช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้มากขึ้น เนื่องจากจากช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกมีความท้าทายและมีความผันผวนค่อนข้างมาก ประกอบกับประเทศไทยเผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจส่งผลให้ SMEs กำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน และยังต้องเผชิญกับสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาดัมพ์ตลาดในหลายกลุ่มสินค้า ทำให้หลายโรงงานอยู่ไม่ไหว ต้องปิดตัวไป บางรายผันตัวเป็นผู้นำเข้าแทน ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องเข้ามาช่วยเหลือและประคองให้ผู้ประกอบการ SMEs อยู่รอด”
ดังนั้น นโยบายใน 2 ปีข้างหน้านี้ จะให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาให้กับ SMEs อย่างจริงจัง โดยร่วมมือกับภาครัฐในการหามาตรการต่างๆ ที่จะช่วยผลักดัน SMEs ทั่วประเทศในการเปลี่ยนผ่านจาก SMEs ธรรมดาสู่ “Smart SMEs” ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมาทำได้ส่วนหนึ่งแล้ว แต่จะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยมี 3 ส่วนที่ให้ความสำคัญ ได้แก่
- Go Digital ล่าสุดได้สั่งการให้กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลของ ส.อ.ท. เตรียมแพ็กเกจโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สำคัญภายใต้โครงการ “Digital One” เพื่อช่วยยกระดับ SMEs ทั่วประเทศ เช่น โปรแกรมด้านการผลิต ด้านการบัญชี และด้านการควบคุมต่างๆ ที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และช่วยลดรายจ่าย ซึ่งปกติแต่ละโปรแกรมมีมูลค่าเป็นหลักหมื่น หลายโปรแกรมรวมกันเป็นหลักแสน แต่เราได้ให้กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลสร้างและรวบรวมแพ็กเกจที่สำคัญๆ ที่สมาชิก ส.อ.ท.จำเป็นต้องใช้ โดยทุกโปรแกรมจากแพ็กเกจหลักแสนจะลดเหลือเพียง 1,110 บาท เพื่อให้ SMEs สามารถจับต้องและเป็นเจ้าของได้ และนำไปพัฒนาตัวเองได้ทันที ตรงนี้เป็นนโยบายเชิงรุกที่จะช่วยยกระดับให้เป็นสมาร์ทเอสเอ็มอี (Smart SMEs) ได้เร็วขึ้น
- Go Innovation เป็น SMEs “จิ๋วแต่แจ๋ว” ด้วยนวัตกรรมซึ่งจะคล้ายกับ SMEs ของไต้หวันและอิสราเอล ล่าสุดทาง ส.อ.ท. ได้ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดตั้งกองทุนนวัตกรรมที่เรียกว่า “Innovation One” โดยกระทรวง อว. ได้ให้งบสนับสนุน 1,000 ล้านบาท และส.อ.ท. สมทบอีก 1,000 ล้านบาท รวมเป็น 2,000 ล้านบาท ในกรอบระยะเวลา 3 ปี เพื่อสนับสนุน SMEs และสตาร์ทอัพในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ และเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และจะบุกเต็มที่ในอีก 2 ปีข้างหน้านี้
- Go Global จะผลักดันผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถผลิตและขายสินค้าไปต่างประเทศได้ในมาตรฐานที่ต่างประเทศยอมรับ หากเป็น SMEs ที่เป็นซัพพลายเชนของผู้ส่งออกต่างชาติที่มาตั้งฐานผลิตในไทย จะผลักดันให้ได้มาตรฐานสากล เพื่อยกระดับมาตรฐานตัวเองไปกับสินค้าต่างๆ
ทั้ง 3 Go เป็นนโยบายใหม่ที่จะมาเสริมนโยบาย ONE FTI ซึ่งหากทำตามแผนตามยุทธศาสตร์นี้ จะทำให้ผู้ประกอบการ SMEs ในภาคการผลิตของไทย สามารถยกระดับความสามารถในการแข่งขันได้ดีขึ้น
“ในวาระปี 2565-2567 ที่ผ่านมา ภายใต้นโยบาย ONE FTI ถือเป็นการวางพื้นฐานในการปรับกระบวนการทำงาน ซึ่งเดินหน้าไปแล้วหลายโครงการ แต่สำหรับวาระสมัยที่ 2 ปี 2567-2569 นี้ ผมคิดว่าเป็นความท้าทายและจะมีการขับเคลื่อนอย่างเต็มสูบ เพื่อยกระดับมาตรฐานและขีดความสามารถในการแข่งขัน อะไรที่เราทำอยู่ เราจะทำต่อ และทำให้เกิดผล เราจะจับมือกับผู้ประกอบการ SMEs ภาครัฐและหน่วยงานพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง เพื่อก้าวข้ามความท้าทายและอุปสรรคต่างๆ ไปด้วยกัน และเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียวเพิ่มขึ้น เพื่อประเทศไทยที่เข้มแข็งกว่าเดิม” นายเกรียงไกร กล่าวเสริม
.……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………
เผยแพร่โดย ฝ่ายสื่อสารองค์กร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (โทร. 0-2345-1013)